www.doujin.com

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

คนเก็บขยะ อาชีพทรงคุณค่าในภาวะโลกร้อน

อาชีพเก็บขยะ เก็บขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องน้ำ รับซื้อของเก่า


อาชีพเก็บเก็บขวดพลาสติก ขวดแก้ว กระป๋อง รับซื้อของเก่าและรับซื้อขยะ นอกจากจะเป็นอาชีพทำเงินที่น่าสนใจแล้ว พวกเขาเหล่านี้มักจะมีสำนักงานอยู่ที่บ้านหรือสร้างเป็นโรงรับซื้อขยะเอง และของเก่าหรือขยะเหล่านี้ก็สามารถนำมารีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ได้ บางที่ก็จะเป็นแบบธุรกิจครอบครัว มีรถกระบะวิ่งรับซื้อของเก่าตามหมู่บ้านทั่วๆ ไป แต่บางคนที่เขามีเงินเยอะหน่อย ก็ทำเป็นแบบธุรกิจขนาดใหญ่มีโรงแยกขยะต่างหาก มีพนักงานจำนวนมาก พอแยกขยะแล้วก็ส่งขยะให้บริษัทที่รับซื้อขยะเหล่านี้นำไปรีไซเคิล แล้วก็นำกลับมาใช้บรรจุภัณฑ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง รถที่วิ่งรับซื้อของเก่าหรือรับซื้อขยะตามหมู่บ้านโดยทั่วไปแล้ว ก็จะนำขยะมาขายให้กับโรงรับซื้อขยะขนาดใหญ่นี้เป็นจำนวนมาก และเราก็มักจะเห็นรถรับซื้อของเก่าและรับซื้อขยะอยู่เป็นประจำ เพราะสามารถสร้างรายได้และเป็นอาชีพที่อิสระไม่ต้องมีใครคอยสั่งให้เราทำโน่นนี่ ถ้าเรามีความขยันหน่อยบวกกับความอดทนอีกนิด รับรองได้เลยว่าอาชีพรับซื้อขยะและรับซื้อของเก่านี้ สามารถสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวอย่างมากมายเลยทีเดียวค่ะ
ขยะมูลฝอยล้นเมืองเป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องพบเจอ และประเทศไทยของเราเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องเจอกับปัญหาขยะล้นเมืองเช่นเดียวกัน เพราะมีประชากรเป็นจำนวนมาก การซื้อขาย การผลิตสินค้าและการบริโภคก็มากขึ้นตามจำนวนของประชากรในประเทศ ซึ่งบางประเทศก็จะมีวิธีจัดการกับปัญหาเศษขยะล้นเมืองกันหลายวิธี และถึงแม้ว่าประเทศของเราจะยังไม่มีมาตรการที่แน่ชัดในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้แต่ก็มีวิธีการแยกขยะที่ทำให้ง่ายต่อการเก็บ และง่ายต่อผู้ที่ทิ้งขยะ นั่นคือการทำถังขยะแยกประเภท นอกจากจะทำให้ง่ายต่อการทิ้งแล้วพนักงานเก็บขยะก็ง่ายต่อการทำงานด้วยค่ะ

อาชีพเก็บขยะ ขวดน้ำพลาสติก  เก็บขยะขายหลังน้ำท่วม

อาชีพเก็บขยะขายเป็นอาชีพที่ไม่ต้องลงทุน แต่ก็ต้องระวังเรื่องโรคภัยที่อาจจะมาจากการเก็บขยะ แต่งานเก็บขยะก็ไม่ต้องมีใครมาคอยกำหนดปริมาณงานให้น่ารำคาญใจ ไม่ต้องมีเจ้านายมายืนคุมงาน คอยสั่งงาน เป็นอาชีพที่คอยหล่อเลี้ยงคนจนให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวและเป็นหนึ่งในอาชีพสุจริตที่มีส่วนช่วยลดสภาวะโลกร้อนอีกด้วย เพราะอาชีพเก็บขยะขายเป็นการลดปริมาณขยะที่มีอยู่เป็นจำนวนมากให้ลดลง แต่คนเก็บขยะขายก็เป็นแรงงานนอกระบบ ไม่มีสวัสดิการทางสังคมและสิทธิประโยชน์เทียบเท่ากับอาชีพอื่นๆ เพราะพวกเขามีระดับการศึกษาไม่สูง ไม่มีงานทำ พวกเขาจึงต้องผันตัวเองมาประกอบอาชีพเก็บขยะ แต่ส่วนมากมักจะเคยเป็นชาวนา คนงานก่อสร้าง พนักงานขับรถ หรือลูกจ้างทั่วไปมาก่อน ก่อนที่จะมาประกอบอาชีพเก็บขยะ

พนักงานเก็บขยะผู้ที่ช่วยทำให้เมืองสะอาด

แต่ละประเทศก็จะมีพนักงานเก็บขยะที่จะคอยช่วยดูแลเรื่องของปริมาณขยะ เพราะถ้าเราไม่มีการจัดการกับปัญหาขยะพวกนี้อย่างจริงจัง ปัญหาที่ตามมาก็คือขยะล้นเมือง ทำให้บ้านเมืองสกปรกไม่น่าเข้าไปเที่ยวชม ส่งกลิ่นเหม็น และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดสภาวะโลกร้อนอีกด้วย พนักงานเก็บขยะก็เป็นปัจจัยสำคัญที่คอยช่วยดูแลปริมาณขยะ นอกจากจะมีพนักงานของรัฐบาลแล้ว ก็ยังมีบริษัทเอกชนที่เปิดให้บริการเรื่องของการเก็บขยะอีกเป็นด้วย พนักงานเก็บขยะแตกต่างจากคนเก็บขยะทั่วไป เพราะคนที่ทำงานเก็บขยะขายโดยทั่วไป จะไม่มีสวัสดิการเป็นงานอิสระแต่พนักงานเก็บขยะนั้นมีเงินเดือนให้ และบางบริษัทก็จะมีสวัสดิการต่างๆ ให้ แล้วแต่บริษัทนั้นๆ จะให้สิทธิประโยชน์ทางด้านสังคมอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น พนักงานเก็บขยะในต่างประเทศที่มีสวัสดิการดี และมีเงินเดือนดี เช่น อิตาลี่ เยอรมัน พนักงานเหล่านี้จะได้สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ทางสังคมที่ดีมาก เพรารัฐบาลของพวกเขาเอาใจใส่กับปริมาณของขยะที่มีมากขึ้นทุกวัน จึงต้องให้สวัสดิการและเงินเดือนทีสูง เพื่อที่จะให้มีผู้มาสมัครทำงานทางด้านนี้ให้มากๆ ค่ะ

เก็บขยะหลังน้ำท่วม เป็นอาชีพสร้างเสริมและสร้างรายได้อย่างงดงาม

หลังน้ำท่วมครั้งนี้ผ่านไป รับรองว่าขยะเกลื่อนเมืองแน่ๆ ค่ะ ในช่วงนี้เองที่เราจะถือโอกาสทำความดีไปพร้อมๆ กับการสร้างรายได้ หลังจากที่น้ำลดลงแล้ว ขวดพลาสติก ขวดแก้ว โลหะชนิดต่างๆ คงต้องมีมากมายแน่นอน คนเก็บขยะขายคงจะเก็บแทบไม่ทันเพราะขยะไหลมากับน้ำมีขยะอยู่แทบทุกที่บางทีเราไม่ต้องออกไปเก็บ ขยะก็ลอยมาติดหน้าบ้านให้เรานำไปขายได้ถึงที่เลยหละค่ะ แต่ถ้าเราช่วยกันเก็บขยะถึงเราไม่คิดจะนำไปขาย แต่ก็เป็นการช่วยทำความสะอาดบ้านเมือง และช่วยลดสภาวะโลกร้อนอีกด้วยค่ะ
การเก็บขยะขายอย่าง ขวดพลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องหลังน้ำท่วมนอกจากจะสร้างรายได้ในช่วงนี้แล้ว ยังเป็นการทำความดีในยามที่ประเทศเราต้องการความช่วยเหลือ แม้ว่าเราจะเป็นหนึ่งในความดีเพียงเล็กน้อย แต่เราก็จะภูมิใจที่ได้เป็นส่วนช่วยให้ประเทศของเรากลับมาน่าอยู่อีกครั้ง แต่ถ้าเราเก็บขยะแล้วนำไปขายในช่วงนี้ไม่รู้ว่าพวกรับซื้อขยะจะยังรับซื้ออยู่มั้ยนะ เพราะถ้าเรานำไปขายในพื้นที่น้ำท่วมเหมือนกัน ดิฉันคิดว่าเขาคงจะไม่รับซื้อหรอกค่ะ เพราะคงจะอพยพกันไปหมดแล้ว แต่ภายหลังน้ำลดแล้วจะต้องกลับมารับซื้อแน่นอนค่ะ

ผักสวนครัว

การปลูกคะน้า


          ผักคะน้า มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชียและปลูกกันมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย คะน้าเป็นผักที่นิยมปลูกและบริโภคกันมา โดยปลูกเพื่อบริโภคส่วนของใบและลำต้น อายุตั้งแต่หว่านหรือหยอดเมล็ดจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 45-55 วัน ผักคะน้าเป็นผักสวนครัวที่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่ปลูกได้ผลดี ที่สุดอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายน

การเพาะกล้า

         1. การเตรียมแปลงเพาะ แปลงเพาะกล้าควรมีขนาดกว้าง 1 เมตร ส่วนความยาวตามความเหมาะสม
         
2. การเตรียมดินบนแปลงเพาะกล้า ควรขุดไถพรวนดินอย่างดี ตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน ย่อยหน้าดิน ให้ละเอียด แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วให้มาก คลุกเคล้าให้เข้ากับดินให้ทั่ว
         
3. การเพาะ หว่านเมล็ดให้กระจายสม่ำเสมอทั่วแปลง กลบเมล็ดด้วยดินหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ รดน้ำให้ชุ่มด้วยบัวรดน้ำ
         
4. การดูแลต้นกล้า ต้นกล้าจะงอกภายใน 7 วัน ควรดูแลต้นกล้า ถอนต้นที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง หรือเบียดกันแน่นทิ้งไป ผสมสารละลายสตาร์ทเตอร์โวลูชั่นในน้ำแล้วนำไปรด เพื่อให้ต้นกล้าแข็งแรงสมบูรณ์ ดูแลป้องกันโรคแมลงที่เกิดขึ้น เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 25-30 วัน จึงทำการย้ายไปปลูกในแปลงปลูกต่อไป

วิธีการปลูก

         การปลูกคะน้านิยมปลูก 2 แบบ คือ
         1. แบบหว่านกระจายทั่วแปลง เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดใหญ่ ทำเป็นการค้า
         2. แบบแถวเดียว เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดเล็กหรือผักสวนครัว เตรียมดินโดยการใช้แรงงานคนให้น้ำโดยใช้บัวรดน้ำ
         
ระยะปลูก ควรให้มีระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถวประมาณ 20 X 20 เซนติเมตร
         การเตรียมแปลงปลูก มีวิธีการดังนี้
         1. ขุดดินให้ลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร
         2. ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน
         3. นำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วมาใส่ คลุกเคล้าให้เข้ากับดินเป็นการปรับปรุงสภาพทางกายภาพและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
         4. พรวนย่อยหน้าดินให้มีขนาดเล็ก โดยเฉพาะการปลูกแบบหว่านลงในแปลง เพื่อไม่ให้เมล็ดตกลงไปในดิน เพราะจะไม่งอกหรืองอกยากมาก
         5. ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับปรุงดินให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม

         ในการปลูกคะน้านิยมหว่านเมล็ดลงบนแปลงปลูกโดยตรงมากกว่าย้ายกล้า โดยมีขั้นตอนดังนี้
         1. หว่านเมล็ดให้กระจายทั่วทั้งผิวแปลงโดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร
         2. ใช้ดินผสมหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้วหว่านกลบเมล็ดให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร เพื่อเก็บรักษาความชื้นและป้องกันเมล็ดถูกน้ำกระแทกกระจาย
         3. คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบางๆ
         4. รดน้ำให้ทั่วถึงและสม่ำเสมอ ต้นกล้าจะงอกภายใน 7 วัน
         5. หลังจากต้นคะน้างอกแล้วประมาณ 20 วัน หรือต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ให้เริ่มถอนแยก โดยเลือกต้นที่ไม่สมบูรณ์ออก ทิ้งระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 10 เซนติเมตร ต้นอ่อนของคะน้าที่ถอนแยกออกมาในวัยนี้เมื่อเด็ดรากออกแล้วส่งขายตลาดเป็นยอดผักได้
         6. เมื่อคะน้ามีอายุประมาณ 30 วัน ให้ถอนแยกครั้งที่ 2 ให้เหลือระยะห่างระหว่างต้น 20 เซนติเมตรต้นอ่อนของคะน้าที่ถอนแยกออกมาในวัยนี้เมื่อเด็ดรากออก แล้วส่งขายตลาดเป็นยอดผักได้
         7. ในการถอนแยกคะน้าแต่ละครั้งควรกำจัดวัชพืชไปด้วย

การให้น้ำ


         1. คะน้าต้องการน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรปลูกในแหล่งที่มีน้ำอย่างเพียงพอ
         2. การให้น้ำให้ใช้ฝักบัวฝอยรดให้ทั่วและให้ชุ่ม ในเวลาเช้าและเย็น

การใส่ปุ๋ย


         คะน้าต้องการปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง อาจใส่ปุ๋ยสูตร 12-8-8 หรือ 20-11-11 ในอัตราประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินและปริมาณปุ๋ยคอกที่ใช้โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ หลังจากถอนแยกครั้งแรกและหลังจากถอนแยกครั้งที่ 2

การเก็บเกี่ยวผลผลิต

         อายุการเก็บเกี่ยวของคะน้าอยู่ที่ประมาณ 45-55 วันหลังปลูก คะน้าที่ตลาดต้องการมากที่สุดคือ คะน้าที่มีอายุ 45 วัน แต่คะน้าที่มีอายุ 50-55 วัน เป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ำหนักมากกว่า วิธีการเก็บเกี่ยวคะน้าทำได้ดังนี้
         1. ใช้มีดคมๆ ตัดให้ชิดโคนต้น
         2. ตัดไล่เป็นหน้ากระดานไปตลอดทั้งแปลง
         3. หลังตัดแล้วบางแห่งมัดด้วยเชือกกล้วยมัดละ 5 กิโลกรัม บางแห่งก็บรรจุเข่ง แล้วแต่ความสะดวกในการขนส่ง
         การเก็บเกี่ยวคะน้าให้ได้คุณภาพดี รสชาติดี และสะอาด ควรปฏิบัติดังนี้
         1. เก็บในเวลาเช้าดีกว่าเวลาบ่าย
         2. ใช้มีดเล็กๆ ตัด อย่าเก็บหรือเด็ดด้วยมือ
         3. อย่าปล่อยให้ผักแก่เกินไป
         4. หลังเก็บเกี่ยวเสร็จควรนำผักเข้าที่ร่ม วางในที่โปร่งและอากาศเย็น
         5. ภาชนะที่บรรจุผักควรสะอาด

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โลกแตก 2012 จริงหรอครับ

โลกแตก 2012
 
เด วิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA) เปิดเผยถึงข่าวที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ตที่ว่า โลกจะถึงคราวสิ้นสุดลงในปี 2012 ด้วยเหตุผลทางดาราศาสตร์เป็นแค่"ข่าวลือ"เท่านั้น โดยด็อกเตอร์มอร์ริสันระบุว่า อาการ"วิตกจักรวาล" (cosmophobia) ถูกยัดเยียดโดยเว็บไซต์วิทยาศาสตร์"ปลอม" และผู้ที่พยายามจะหาเงินจากความไม่รู้ของสาธารณชน...


ความ เชื่อที่แพร่กระจายอยู่บนเน็ตที่ว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศ (doomsday) เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในจักรวาลจะทำลายโลก กลายเป็นเรื่องหลอกลวง โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจากด็อกเตอร์เดวิด มอร์ริสัน นักวิทยาศาสตร์นาซ่า ซึ่งข้อสรุปของคำอ้างต่างๆ และการโต้ตอบของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องดังกล่าว กำลังได้รับการเผยแพร่โดยสมาคมดาราศาสตร์แห่งภาคพื้นแปซิฟิก




หลาย เดือนที่ผ่านมา ทางนาซ่า และนักบินอวกาศหลายคนได้รับจดหมาย และอีเมล์แสดงความวิกตกังวลจากข่าวสารที่มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตถึงความ เป็นไปได้ที่โลกจะคราววินาศ และความสูญเสียของชีวิตมนุษย์อย่างมากมายในปี 2012 เหตผลและเงื่อนไขที่จะทำให้โลกแตกได้รับการนำเสนออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งชนของดาวเคราะห์ชื่อว่า Nibiru จุดดับบนดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นอย่งต่อเนื่อง ตำแหน่งใหม่ของการจัดวางศูนย์กลางกาแล็กซี่ และอื่นๆ อีกสารพัดเดวิด มอร์ริสัน บัญญัติอาการหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "cosmophobia" ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วโลกในวงกว้าง




ด็อก เตอร์ มอร์ริสัน ผู้เชี่ยวชาญระบบสุริยจักรวาล (solar system) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก (และการชนของดาวเคราะห์) และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารของนาซ่า บริการ "Ask an Astobiologist" โดยเขาจะตอบคำถามต่างๆ ให้กับสาธารณชน ซึ่งเขาได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับปี 2012 โลกาวินาศจนรู้สึกว่า เขาต้องสืบหาต้นตอ และความจริงในเรื่องนี้ ประเด็นที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดในการค้นหาก็คือ ผู้แพร่กระจายหลายรายเริ่มต้นจากภาพยนต์ "2012" ที่มีกำหนดฉายในเดือนพฤศจิกายน โดยการสร้างเว็บไซต์วิทยาศาสตร์"ปลอม" และกระตุ้นให้ผู้คนค้นหาคีย์เวิร์ด "2012" บนเว็บ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะที่ค้นพบได้จะเต็มไปด้วยข้อมูลไร้สาระ และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะผู้ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความหายนะที่พยายามจะขายหนังสือของพวก เขา




บท ความของมอร์ริสันจะอยู่ในรูปของคำถามและคำตอบ ตามด้วยแนะนำแหล่งข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ผู้อ่านสามารถค้นหาเกียวกับเหตุผลที่ ว่า ทำไมถึงไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดความหายนะในปี 2012 มันมีเหตุผลมากมายที่น่ากังวลเกียวกับอนาคตของโลก แต่ที่แน่ๆ ไม่มีเหตุผล หรือกำหนดช่วงเวลาที่โลกจะแตกในปีนั้น ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่แนะนำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สิ่งแปลกๆ หรือเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้